บทที่ 6 ตั้งครรภ์
แม้ว่าธนวัฒน์จะนั่งอยู่บนรถเข็นก็ตาม
แต่ทว่าบารมีที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของเขานั้น กลับทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสะท้านจนถึงกระดูก
เขามองภาวิตที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ เหมือนสุนัขตัวหนึ่งด้วยหางตา คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเล็กน้อย พูดเน้นทีละคำอย่างดูเหมือนไม่ใส่ใจ
“ภาวิต แกคิดว่าเรื่องที่แกทำทั้งหมดนั่น จะปิดบังฉันได้เหรอ?”
ความเยือกเย็นในน้ำเสียงนั้น ทำให้ภาวิตตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“อา ผมเปล่านะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย อาต้องเชื่อผมนะ!”
เขายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น คลานเข้าไปหาที่ข้างเท้าของธนวัฒน์
ค่อยๆ ดึงชายกางเกงของธนวัฒน์เบาๆ
ธนวัฒน์เหลือบมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา
บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆ ก็เข้าไปเตะเขาอย่างแรง “แกอยู่ห่างๆ คุณธนวัฒน์หน่อย!”
ภาวิตร้องโหยหวนออกมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ดูน่าสังเวชอย่างยิ่ง
หทัยทิพย์มองไป พลางรู้สึกดูถูกเหยียดหยามในใจอย่างที่สุด
ผู้ชายที่เหมือนขยะคนนี้ ไอ้คนเลวทรามคนนี้ ทำไมตัวเองถึงได้รักอย่างจริงใจมานานหลายปีขนาดนี้ได้นะ?
ถูกหลอกมาตั้งหลายปี ช่างน่าหงุดหงิดจริงๆ
ภาวิตยังคงแก้ตัวต่อไป “อา เชื่อผมเถอะครับ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจะฟื้นขึ้นมาเร็วๆ! ผมไม่ได้ทำอะไรที่ทรยศต่ออาเลยนะครับ!”
ธนวัฒน์มองเขาราวกับมองคนตาย
“แกคิดว่าฉันแค่เดาสุ่มๆ เหรอ? เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ฉันจะใส่ร้ายแกเหรอ? แกคิดว่าฉันโง่เหมือนแกหรือไง?”
แววตาของเขาแฝงไปด้วยจิตสังหาร “ตอนที่ฉันหมดสติอยู่ แกกล้าดียังไงถึงใช้เงินซื้อตัวทนายของฉัน”
ธนวัฒน์เค้นเสียงออกมาทีละคำ แต่ละคำเปรียบเสมือนมีดปลายแหลมอาบยาพิษ
“ไอ้ขี้ขลาด! ตอนนั้นกล้าทำ ตอนนี้กลับไม่กล้ายอมรับ? รีบไสหัวไปให้พ้น!”
สายตาอันเย็นชาของเขาเหลือบมองภาวิต แล้วรีบเบือนหน้าหนีไปทันที ไม่อยากจะมองหน้าคนคนนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว
อารมณ์ของภาวิตพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้ยินประโยคนั้น ภาวิตก็ราวกับได้รับอภัยโทษ รีบวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกไป
หทัยทิพย์มองแผ่นหลังของภาวิตที่วิ่งหนีไปอย่างน่าสมเพชเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ในใจก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
เธอมองกลับไปที่แผ่นหลังของธนวัฒน์ที่ยังคงคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ คิดว่าตัวเองควรรีบออกจากสมรภูมินี้ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
สู้เขาไม่ได้ หรือว่าจะหลบก็ไม่ได้อีกเหรอ?
ถ้าเขาเห็นเธอเข้า ต้องไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
วันนี้เธอต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเข้าพบแผนกสูตินรีเวช เพื่อตรวจร่างกาย
เดือนนี้ประจำเดือนของเธอมาช้า แถมปริมาณเลือดก็ยังน้อยมากอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน
อย่าให้เป็นเพราะช่วงนี้ตกใจมากเกินไป จนทำให้ระบบต่อมไร้ท่อผิดปกติเลยนะ
หทัยทิพย์มาถึงโรงพยาบาล เธอไปลงทะเบียนที่แผนกสูตินรีเวชก่อน
เมื่อถึงคิวของเธอ เธอก็เล่าอาการของเธอให้แพทย์ที่ตรวจฟัง
หมอบอกเธอว่า อาการแบบนี้ต้องไปตรวจปัสสาวะหาค่าเอชซีจี
เพื่อให้แน่ใจที่สุด จะต้องไปทำอัลตราซาวนด์สีอีกครั้ง
หลังจากตรวจทุกอย่างเสร็จ ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็ได้รับผลตรวจ
ผลปรากฏว่า เธอตั้งครรภ์!
เธอสติหลุดลอยไปหมด ถามหมอว่า “ไหนว่ามีประจำเดือนมาแล้วนี่คะ แล้วจะตั้งครรภ์ไปพร้อมกันได้ยังไงคะ?”
หมออธิบายให้เธอฟังอย่างใจเย็น “นี่ไม่ใช่ประจำเดือนค่ะ นี่คือภาวะแท้งคุกคามในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ต้องฉีดยากันแท้งค่ะ” ข่าวนี้ราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้หทัยทิพย์ตื่นตระหนกตกใจ
“คุณหมอคะ ถ้าฉันไม่ต้องการเด็กคนนี้ล่ะคะ?”
เธอกำลังจะหย่ากับธนวัฒน์แล้ว จะมีลูกกับเขาอีกได้อย่างไร?
“ทำไมสามีคุณไม่มาด้วยล่ะคะ?” หมอถาม “ถึงจะไม่ต้องการเด็ก ก็ต้องปรึกษากับสามีก่อนนะคะ”
หทัยทิพย์ขมวดคิ้วแน่น
หมอเห็นเธอทำหน้าลำบากใจเช่นนั้น จึงหยิบแฟ้มประวัติของเธอขึ้นมาดู “คุณเพิ่งจะอายุ 21 เองเหรอคะ! ยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?”
“การทำแท้งไม่ใช่การผ่าตัดเล็กๆ นะคะ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างการตกเลือดรุนแรงได้ ถึงคุณจะทำแท้ง ก็ต้องคิดให้ดีๆ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของคุณกับแฟนจะเป็นยังไง เด็กก็เป็นผู้บริสุทธิ์นะคะ”
หมอส่งแฟ้มประวัติคืนให้เธอ “ตอนนี้คุณมีอาการเลือดออกแล้ว ต้องฉีดยากันแท้งก่อน จะรักษาตัวอ่อนไว้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ”
หทัยทิพย์รู้สึกใจอ่อนลงทันที “คุณหมอคะ แล้วจะกันแท้งยังไงคะ?”
หมอมองเธออีกครั้ง “หมอจะสั่งยาให้ กลับไปนอนพักบนเตียงหนึ่งสัปดาห์ พักผ่อนให้มากๆ ห้ามทำงานหนัก แล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ค่อยกลับมาตรวจซ้ำนะคะ”
...
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล แผ่นหลังของเธอก็มีเหงื่อเย็นไหลซึมตลอดเวลา ตอนนี้เธอสับสนมาก ไม่รู้จะไปที่ไหนดี และไม่มีใครให้ระบายความในใจได้เลย
ที่แน่ๆ คือ บอกธนวัฒน์ไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าเขารู้เข้า ต่อให้ต้องมัด เธอก็คงถูกลากขึ้นเตียงผ่าตัดแน่
ตอนนี้ใจเธอสับสนวุ่นวายไปหมด อยากจะรอให้ตัวเองใจเย็นลงกว่านี้ก่อนค่อยตัดสินใจ
จะผ่าตัดออกหรือจะเก็บไว้ เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
เธอโบกรถข้างทางคันหนึ่งเพื่อไปหาแม่ของเธอ
ตั้งแต่แม่หย่ากับพ่อ แม่ก็กลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านของคุณลุง
บ้านของคุณลุงไม่ได้ร่ำรวยเท่าตระกูลสินธร แต่ก็ถือว่ามีฐานะดีพอสมควร
“ทิพย์ มาคนเดียวเหรอจ๊ะ?” คุณป้าเห็นเธอมามือเปล่า สีหน้าก็พลันมืดครึ้มลงทันที “ดูสภาพตกอับของแกสิ โดนตระกูลบุญศิริไล่ออกมาแล้วเหรอ? ยังไงล่ะ ไม่เป็นที่โปรดปรานของตระกูลบุญศิริแล้วสินะ?”
หทัยทิพย์ก้มหน้าลง แก้มร้อนผ่าว
จารุณีเห็นลูกสาวถูกรังแก ก็รีบออกมาปกป้องทันที “ลูกสาวของฉันยังไม่ถึงตาเธอมาเยาะเย้ยหรอกนะ”
“จารุณี นี่เธอว่าใครหา? เธอเอาความกล้ามาจากไหนมาขึ้นเสียงกับฉันแบบนี้? ถ้าเธอเก่งจริง ทำไมไม่ย้ายออกไปล่ะ? ยังจะมาเกาะบ้านฉันอยู่ทำไม?!”
หทัยทิพย์ไม่คิดว่าแม่ของเธอที่ต้องอาศัยใบบุญคนอื่นจะลำบากขนาดนี้
“แม่คะ แม่ย้ายออกไปเช่าบ้านอยู่เถอะค่ะ!” หทัยทิพย์เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “จริงๆ ที่คุณป้าพูดก็ไม่ผิดหรอกค่ะ หนูใกล้จะหย่ากับคุณธนวัฒน์แล้ว แม่คะ รอหนูหย่าแล้ว หนูจะไปอยู่กับแม่นะคะ!” หทัยทิพย์ซบศีรษะลงบนไหล่ของแม่
จารุณีพยักหน้า “อืม เราย้ายออกไปกันเถอะ”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง สองแม่ลูกก็ออกมาจากตระกูลจรรยาชาติ แล้วขึ้นรถแท็กซี่คันหนึ่ง
หลังจากจัดการเรื่องที่อยู่ให้แม่เรียบร้อยแล้ว หทัยทิพย์ก็กลับมาที่ตระกูลบุญศิริ
ตอนกลางคืน หทัยทิพย์นอนพลิกไปพลิกมาอย่างกระสับกระส่าย
สำหรับลูกในท้องของเธอ เธอยังคิดไม่ตกว่าจะเก็บไว้หรือเอาออกดี
ท่ามกลางความสับสนอันเจ็บปวด หทัยทิพย์ก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น เวลาเก้าโมงครึ่ง ป้าสมศรีมาเคาะประตูห้อง “คุณผู้หญิงคะ คุณชายออกจากบ้านไปแล้วค่ะ ออกมาทานข้าวได้แล้วค่ะ”
หทัยทิพย์ไม่คิดว่าป้าสมศรีจะมองทะลุปรุโปร่งไปหมด
เธอรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที
หลังอาหารเช้า รุ่นพี่โทรมา บอกว่ามีงานแปลเอกสารมาแนะนำให้
“ทิพย์ งานแปลแบบนี้ง่ายมากสำหรับเธอเลยนะ ฝ่ายนั้นให้ค่าตอบแทนสูงมาก แต่ว่ารีบมากเลยนะ เขาต้องการให้เสร็จก่อนเที่ยงวันนี้”
ตอนนี้หทัยทิพย์กำลังขาดเงิน เธอจึงตอบตกลงทันที
